เมื่อข้อตกลงที่เริ่มต้นด้วยความลับกลายเป็นรักแท้ที่ร้อนแรง เขาจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอได้หรือไม่? และเธอจะกล้าทิ้งอดีตเพื่อก้าวไปกับเขาหรือเปล่า? ความรักที่เผ็ดร้อน ดุเดือด และหวานซึ้งรอคุณอยู่ในทุกตัวอักษรของเรื่องราว 'สัญญาร้าย...สัญญารัก'
🍹
สัญญาร้าย...สัญญารัก
บทที่ 1
บทเริ่มต้นแห่งโชคชะตา
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลสาดส่องลงมาบนพื้นหินอ่อนสีขาวเงาวับของห้องโถงขนาดใหญ่ เสียงพูดคุยเบาๆ ดังก้องอยู่ในอากาศผสมกับกลิ่นน้ำหอมราคาแพงและไวน์ชั้นเลิศ งานประมูลศิลปะครั้งนี้จัดขึ้นในโรงแรมสุดหรูที่ภีมเป็นเจ้าของ เขายืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องในชุดสูทสีเทาเข้มตัดเย็บอย่างปราณีต ใบหน้าคมคายภายใต้แววตาที่เย็นชาดูสงบและนิ่งราวกับรูปปั้นหินอ่อน ท่ามกลางฝูงชนที่มาร่วมงาน เขาคือจุดสนใจที่ไม่อาจละสายตาได้
ในมือของเขาถือแก้วไวน์ที่หมุนวนไปมาช้าๆ ขณะที่สายตากวาดมองไปรอบห้องอย่างไม่เร่งรีบ งานศิลปะที่ถูกนำมาประมูลในค่ำคืนนี้ล้วนเป็นชิ้นงานชั้นสูง แต่สำหรับภีม มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกที่เขาคุ้นเคย—โลกที่สมบูรณ์แบบแต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เขาเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ไม่มีอะไรที่ท้าทายหรือทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้อีกต่อไป
จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งลงที่เธอ
น้ำขิงยืนอยู่ใกล้กับภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่ถูกแขวนไว้บนผนัง เธอสวมชุดเดรสสีเขียวมรกตเรียบง่ายที่ตัดกับผิวพรรณสีน้ำผึ้งของเธออย่างลงตัว ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงที่ดูบอบบาง เธอกำลังจ้องมองภาพวาดนั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ ปากเล็กๆ ขยับเป็นคำพูดเบาๆ ราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างในใจ
“น่าสนใจ” เสียงของเธอดังขึ้นเมื่อหันไปคุยกับเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ “สีที่เขาใช้มันบอกเล่าความรู้สึกได้มากกว่าคำพูดซะอีก”
ภีมขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อนในแวดวงสังคมของเขา และจากท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ปรุงแต่ง เธอไม่น่าจะเป็นลูกค้าประจำของงานประมูลแบบนี้ แต่มีบางอย่างในตัวเธอที่ดึงดูดเขา—อาจเป็นรอยยิ้มที่สดใส หรือสายตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ซึ่งมันแตกต่างจากทุกคนในห้องนี้อย่างสิ้นเชิง และเมื่อหญิงสาวและเพื่อนของเธอเดินห่างเขาออกไป
“คุณรู้จักเด็กสาวคนนั้นไหม” เขาหันไปถามเลขานุการส่วนตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ทราบครับคุณภีม แต่ถ้าคุณต้องการ ผมจะไปหาข้อมูลมาให้” เลขาคนสนิทตอบทันที
“ไม่ต้อง” ภีมตัดบท สายตายังคงจับจ้องไปที่น้ำขิง “ผมจะจัดการเอง”
เขาเดินตรงไปหาเธอด้วยฝีเท้าที่มั่นคงและสง่างาม ผู้คนรอบข้างต่างหลีกทางให้โดยอัตโนมัติราวกับรู้ถึงอำนาจที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา เมื่อมาถึงจุดที่เธอยืนอยู่ ภีมหยุดลงและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เย็นชาแต่เต็มไปด้วยพลัง
“คุณคิดว่าภาพนี้มีค่าพอที่จะประมูลหรือเปล่า”
น้ำขิงหันขวับมามองเขา ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววประหลาดใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาบางเบา และตอบกลับโดยไม่ลังเล
“ถ้าคุณดูแค่ราคา มันอาจจะแพงเกินไปสำหรับแค่สีน้ำมันบนผ้าใบ แต่ถ้าคุณมองที่ความหมาย มันมีค่ามากกว่านั้นเยอะเลยค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ภีมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดหวังคำตอบที่เกรงใจหรือประจบประแจงจากคนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เธอกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจและตรงไปตรงมา
“คุณชื่ออะไร” เขาถามต่อ โดยไม่สนใจที่จะแนะนำตัวเองก่อนตามมารยาท
“น้ำขิงค่ะ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้น “แล้วคุณล่ะคะ”
“ภีม” เขาตอบสั้นๆ สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของเธออย่างไม่ละสายตา “คุณดูไม่เหมือนคนที่มาประมูลงานศิลปะ”
“ฉันไม่ได้มาประมูลค่ะ” น้ำขิงหัวเราะเบาๆ เสียงของเธอใสกระจ่างราวกับระฆัง “เพื่อนฉันทำงานที่นี่ เลยชวนฉันมาดูเฉยๆ”
ภีมพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจของเขากลับรู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไป การปรากฏตัวของน้ำขิงในค่ำคืนนี้เหมือนสายลมที่พัดเข้ามากระทบผิวน้ำนิ่งสงบของชีวิตเขา เธอเป็นปริศนาที่เขาไม่สามารถละสายตาได้ และในขณะที่เธอหันกลับไปดูภาพวาดต่อ เขาก็ตัดสินใจในใจแล้วว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เธอหายไปจากสายตาของเขาง่ายๆ
ค่ำคืนนั้นผ่านไปด้วยการประมูลที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่สำหรับภีม ความตื่นเต้นที่แท้จริงคือการได้พบกับน้ำขิง เขาใช้เวลาเกือบทั้งคืนสังเกตเธอจากระยะไกล ดูท่าทางที่เธอหัวเราะกับเพื่อน ดูแววตาที่เธอมองงานศิลปะแต่ละชิ้น และฟังเสียงของเธอที่ดังขึ้นเบาๆ เป็นครั้งคราวท่ามกลางฝูงชน
เมื่อถึงเวลาที่งานเลิก ภีมเห็นน้ำขิงเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับเพื่อนของเธอ เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและสั่งการเลขานุการของเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่เด็ดขาด
“หาข้อมูลของเด็กสาวที่ผมคุยด้วย เธอชื่อน้ำขิง เอามาให้ผม ทุกอย่างที่คุณหาได้”
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ แต่น้ำขิงทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่างที่หายไปจากชีวิตของเขามานาน—ความมีชีวิตชีวา ความท้าทาย และความรู้สึกที่เขาไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์
เช้าวันต่อมา ภีมตื่นขึ้นมาในห้องนอนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเทาเข้มและขาว หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นวิวเมืองที่ตื่นตัวในยามเช้า เขานั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำตัวโปรดพร้อมกับกาแฟร้อนในมือ ขณะที่เลขานุการของเขาวางแฟ้มข้อมูลลงบนโต๊ะข้างหน้า
“นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่เราหาได้ครับ” เลขาคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “น้ำขิง อินทรศิริ อายุ 20 ปี นักศึกษาปี 2 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยในเมือง ครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลาง พ่อแม่เป็นพนักงานบริษัท เธอทำงานพาร์ทไทม์เป็นครูสอนพิเศษเพื่อหาเงินใช้เอง”
ภีมเปิดแฟ้มและกวาดสายตาลงไปบนตัวอักษรที่เรียงราย เขาเห็นภาพถ่ายของน้ำขิงที่ถูกแนบมาด้วย—ภาพที่เธอยิ้มกว้างขณะยืนอยู่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสดใสและพลังชีวิต
“คุณต้องการให้ผมทำอะไรต่อครับ” เลขาคนสนิทถาม
“ยังไม่ต้อง” ภีมตอบ สายตายังคงจับจ้องไปที่ภาพถ่ายนั้น “ผมจะจัดการเอง”
เขาปิดแฟ้มลงและพิงตัวลงกับเก้าอี้ ความคิดของเขาวนเวียนอยู่ที่น้ำขิง เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยเจอ เธอไม่ได้อยู่ในโลกของเขา แต่กลับทำให้เขารู้สึกอยากเข้าไปในโลกของเธอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจว่าเขาจะต้องมีเธออยู่ในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่งของเมือง น้ำขิงนั่งอยู่ในห้องพักเล็กๆ ของเธอที่เต็มไปด้วยหนังสือและของใช้ส่วนตัว เธอกำลังจดบันทึกบางอย่างลงในสมุด ขณะที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ผู้ชายคนนั้น—ภีม—ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เขาดูเย็นชาและห่างเหิน แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่เธออธิบายไม่ถูก
“คนรวยๆ พวกนั้นก็แปลกๆ กันทั้งนั้นแหละ” เธอพูดกับตัวเองพร้อมกับยิ้มขำ ก่อนที่จะปิดสมุดและลุกขึ้นไปเตรียมตัวไปเรียน
เธอไม่รู้เลยว่าในขณะนั้น ชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล และโชคชะตากำลังพาเธอไปสู่เส้นทางที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน—เส้นทางที่เต็มไปด้วยความรัก ความลับ และความท้าทายที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ชื่อภีม
บทที่ 2
ข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธ
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงานที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึกระฟ้าสูงตระหง่าน ภีมนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สีเข้มขนาดใหญ่ มือทั้งสองข้างวางพักอยู่บนพนักแขนของเก้าอี้หนังสีดำ ดวงตาคมกริบจ้องมองไปที่เมืองเบื้องล่างราวกับเป็นผู้ครองอำนาจเหนือทุกสิ่ง เขาคือเจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่ทอดยาวไปทั่วประเทศ แต่ในวันนี้ ความคิดของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวเลขหรือสัญญาทางธุรกิจ หากแต่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อน้ำขิง
แฟ้มข้อมูลของเธอยังคงวางอยู่บนโต๊ะ เขาเปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง สายตากวาดผ่านรายละเอียดที่เลขาคนสนิทรวบรวมมาให้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอช่างเรียบง่าย—นักศึกษาปีสองที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง และไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงเธอกับโลกของเขาเลยสักนิด แต่ยิ่งเขาได้รู้จักเธอผ่านตัวอักษรเหล่านี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะครอบครองเธอ ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเธอด้วย
“คุณภีมครับ มีนัดประชุมในอีกครึ่งชั่วโมง” เสียงของเลขาคนสนิทดังขึ้นจากประตูที่แง้มอยู่
“เลื่อนไป” ภีมตอบสั้นๆ โดยไม่ละสายตาจากแฟ้ม “และหาทางพาผู้หญิงคนนี้มาเจอผม วันนี้”
เลขาคนสนิทพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ภีมพิงตัวลงกับเก้าอี้ ความคิดของเขาวนเวียนอยู่ที่น้ำขิง เขาจะทำให้เธอเข้ามาอยู่ในโลกของเขา และเขาจะใช้ทุกวิธีที่จำเป็นเพื่อให้ได้เธอมา
ในขณะเดียวกัน น้ำขิงนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้มหาวิทยาลัย เธอกำลังจดบันทึกบางอย่างลงในสมุดเรียน ข้างหน้ามีแก้วชาเย็นวางอยู่ครึ่งแก้ว ผมยาวถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าสูงเผยให้เห็นใบหน้าสดใสที่ไร้การแต่งแต้ม เธอสวมเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กับกางเกงยีนส์ขาดนิดหน่อย ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่สนใจสายตาของคนอื่น
“น้ำขิง!” เสียงเรียกจากเพื่อนสนิทของเธอ ดาว ดังขึ้นจากอีกฝั่งของร้าน “มีคนมาหาแก”
น้ำขิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นชายในชุดสูทสีเข้มเดินเข้ามาหาเธอ เขาดูเป็นมืออาชีพและมีท่าทางที่สุขุมเกินกว่าที่จะเป็นคนธรรมดา
“คุณน้ำขิงใช่ไหมครับ” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “ผมชื่อวิน เป็นเลขานุการของคุณภีม เขาขอให้ผมมาพาคุณไปพบครับ”
“ภีม?” น้ำขิงขมวดคิ้ว “คนที่เจอกันในงานประมูลเมื่อคืนน่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ” วินตอบ “เขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับคุณ”
น้ำขิงมองไปที่ดาวด้วยสายตาสงสัย เพื่อนของเธอยักไหล่และกระซิบว่า “ไปเถอะ เผื่อเขาให้ตั๋วงานศิลปะฟรีอีก”
น้ำขิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บของและลุกขึ้นตามวินไป เธอไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะพาเธอไปสู่อะไร แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณของราศีกุมภ์ เธอจึงยอมตามไปโดยไม่ลังเล
รถยนต์สีดำเงาวับพาน้ำขิงมาถึงตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านใจกลางเมือง เธอถูกพาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด และเมื่อประตูเปิดออก เธอก็พบกับห้องทำงานที่กว้างขวางและทันสมัย ภีมยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง ดวงตาคมกริบหันมามองเธอทันทีที่เธอก้าวเข้ามา
“คุณน้ำขิง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นั่งลง”
น้ำขิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำสั่งที่ดูเหมือนไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ แต่เธอก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำตัวยาว โดยวางกระเป๋าเป้ลงข้างตัว
“มีอะไรเหรอคะ” เธอถามตรงๆ “ถ้าเรื่องงานศิลปะ ฉันไม่ใช่คนที่รู้เยอะขนาดนั้นนะ”
“ไม่ใช่เรื่องงานศิลปะ” ภีมเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ สายตาของเขาจับจ้องใบหน้าของเธออย่างไม่ละสายตา “ผมมีข้อเสนอให้คุณ”
น้ำขิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “ข้อเสนออะไรคะ?”
ภีมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดี่ยวฝั่งตรงข้าม เขาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มือทั้งสองประสานกันบนเข่า “ผมจะดูแลคุณในทุกด้าน การเงิน การศึกษา ความสะดวกสบาย คุณจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่มีเงื่อนไข”
น้ำขิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น เธอเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล “เงื่อนไขอะไร?”
“ความสัมพันธ์นี้ต้องเป็นความลับ” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น “คุณจะต้องทำตามคำสั่งของผม และคุณจะเป็นคนพิเศษของผมคนเดียว ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีความรัก มีแค่ความพึงพอใจของเราทั้งคู่”
น้ำขิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเยาะ “คุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่? Sugar Daddy เหรอ?”
“เรียกมันว่าอะไรก็ได้” ภีมตอบโดยไม่สะทกสะท้าน “ผมเห็นความสามารถและศักยภาพในตัวคุณ แต่ผมก็เห็นว่าคุณต้องดิ้นรนกับชีวิต ผมแค่เสนอทางเลือกที่ง่ายขึ้น”
“ง่ายสำหรับคุณมากกว่าใช่ไหม” น้ำขิงตอกกลับทันควัน เธอลุกขึ้นจากโซฟาและคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอค่ะ แต่ฉันไม่สนใจ ฉันดูแลตัวเองได้”
เธอหันหลังและเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่เธอจะก้าวออกไป เสียงของภีมก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะปฏิเสธ?”
น้ำขิงหยุดชะงัก เธอหันกลับมามองเขา “แน่ใจสิคะ ฉันไม่ใช่ของเล่นของใคร”
“ผมไม่ได้มองคุณเป็นของเล่น” ภีมลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ “ผมมองคุณเป็นคนพิเศษ และผมรู้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน ครอบครัวของคุณกำลังลำบากกับหนี้สิน และงานพาร์ทไทม์ของคุณไม่เพียงพอที่จะช่วยอะไรได้มาก”
น้ำขิงชะงักไปทันที คำพูดของเขาทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น “คุณรู้เรื่องของฉันได้ยังไง?”
“ผมมีวิธีของผม” ภีมตอบ สายตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “ผมไม่ได้บังคับคุณ คุณมีสิทธิ์เลือก แต่ถ้าคุณตกลง ผมจะช่วยให้ครอบครัวของคุณพ้นจากหนี้สินทั้งหมด และคุณจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่คุณต้องการ”
น้ำขิงกำหมัดแน่น ความโกรธและความสับสนปะปนกันอยู่ในใจของเธอ เธอเกลียดที่เขารู้จุดอ่อนของเธอ เกลียดที่เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนไม่มีทางเลือก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของครอบครัวเธอกำลังย่ำแย่ พ่อของเธอป่วยหนักและต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา หนี้สินที่ทับถมทำให้แม่ของเธอต้องทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
“ผมให้เวลาคุณคิดถึงพรุ่งนี้” ภีมกล่าวต่อ “ถ้าคุณตกลง แค่โทรมาหาผม”
น้ำขิงไม่ตอบอะไร เธอหันหลังและเดินออกจากห้องไป โดยไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
คืนนั้น น้ำขิงนอนไม่หลับ เธอนอนมองเพดานห้องพักเล็กๆ ของเธอ ขณะที่ความคิดในหัววนเวียนอยู่กับข้อเสนอของภีม เธอเกลียดความรู้สึกที่ต้องยอมจำนนต่อคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าถ้าเธอปฏิเสธ ครอบครัวของเธออาจจะต้องทนทุกข์ต่อไป
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่น้ำตาคลอในดวงตา
เช้าวันต่อมา น้ำขิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกไปยังเบอร์ที่ภีมให้ไว้
“คุณ” เสียงทุ้มต่ำของภีมดังขึ้นจากปลายสาย “ตัดสินใจแล้ว?”
“น้ำขิงตกลงค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “แต่ฉันมีเงื่อนไขของฉันเอง”
“ว่ามา” ภีมกล่าว
“ฉันจะไม่ยอมให้คุณควบคุมทุกอย่างในชีวิตของฉัน” น้ำขิงพูดต่อ “ฉันจะทำตามข้อตกลง แต่ฉันจะยังเป็นตัวของตัวเอง”
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ตกลง คุณจะได้รู้ว่าผมเป็นคนรักษาคำพูด”
น้ำขิงวางสายลงด้วยหัวใจที่เต้นแรง เธอรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะพาเธอไปสู่โลกที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน และเธอจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ทั้งน่าดึงดูดและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
บทที่ 3
ชีวิตใหม่ในกรงทอง
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านสีขาวบางของห้องนอนขนาดกว้างขวางที่น้ำขิงไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาอยู่ เธอยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยชุดเดรสแบรนด์เนม รองเท้าส้นสูง และเครื่องประดับที่ราคาแพงเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ สองวันหลังจากที่เธอตกลงรับข้อเสนอของภีม ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปราวกับอยู่ในความฝัน—หรือบางทีอาจเป็นฝันร้ายที่ถูกห่อหุ้มด้วยความหรูหรา
“คุณพร้อมหรือยัง” เสียงทุ้มต่ำของภีมดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันไปมองและเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูห้องในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างปราณีต ใบหน้าคมคายของเขาดูสงบและเย็นชาเหมือนเช่นเคย
“น้ำขิงพร้อมแล้วค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ แม้ว่าในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สับสน เธอเลือกสวมชุดเดรสสีครีมเรียบๆ ที่ดูไม่ฉูดฉาดเกินไป แต่ก็ยังคงเผยให้เห็นความงามตามธรรมชาติของเธอ
ภีมพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของเขากวาดมองเธอจากหัวจรดเท้าด้วยความพึงพอใจที่ซ่อนอยู่ในแววตา “ตามผมมา”
น้ำขิงเดินตามเขาออกไปจากห้องพักที่อยู่ในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่เขาเป็นเจ้าของ รถยนต์สีดำเงาวับรออยู่ด้านล่าง และเมื่อเธอก้าวขึ้นไปนั่ง เธอก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างโลกที่เธอเคยอยู่กับโลกที่เธอกำลังก้าวเข้าไป
“วันนี้ผมจะพาคุณไปดูบางอย่าง” ภีมกล่าวขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป “คุณจะได้เห็นว่าผมให้อะไรกับคุณได้บ้าง”
น้ำขิงนั่งนิ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอรู้สึกเหมือนนกที่ถูกขังอยู่ในกรงทอง—สวยงามแต่ไร้อิสรภาพ ภีมรักษาคำพูดของเขา เขาโอนเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชีของครอบครัวเธอเพื่อเคลียร์หนี้สินทั้งหมด และพ่อของเธอก็ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลชั้นนำ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักของข้อตกลงที่เธอตกลงไป
รถยนต์มาจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางเมือง ภีมพาน้ำขิงเข้าไปข้างใน และทันทีที่เธอก้าวเข้าไป เธอก็รู้สึกถึงสายตาของพนักงานที่มองมาด้วยความเคารพและความอยากรู้อยากเห็น เธอเดินตามภีมไปยังโซนสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเขาสั่งให้พนักงานนำเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับมานำเสนอให้เธอเลือก
“เลือกอะไรก็ได้ที่คุณชอบ” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “ผมบอกแล้วว่าผมจะดูแลคุณในทุกด้าน”
น้ำขิงมองไปที่เสื้อผ้าที่ถูกวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า เธอหยิบชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาดู แต่แล้วก็วางมันลงด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ “น้ำขิงไม่รู้จะเลือกอะไรดีค่ะ ฉันไม่เคยอยู่ในที่แบบนี้มาก่อน”
ภีมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกอึดอัด ผมจะจัดการให้”
เขาหันไปสั่งพนักงานด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “เลือกชุดที่เหมาะกับเธอมาให้ผมเห็น ทุกอย่างต้องดีที่สุด”
พนักงานรีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว และไม่นานน้ำขิงก็ถูกล้อมรอบด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี เธอรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตาที่ถูกแต่งตัว แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับความหรูหราที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หลังจากช้อปปิ้งเสร็จ ภีมพาน้ำขิงไปยังร้านอาหารสุดหรูที่ตั้งอยู่ชั้นบนของห้าง ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีทองและขาว โคมไฟระย้าคริสตัลส่องแสงระยิบระยับ และกลิ่นหอมของอาหารชั้นเลิศลอยอบอวลอยู่ในอากาศ น้ำขิงนั่งลงตรงข้ามกับภีม โดยมีโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยจานอาหารฝรั่งเศสที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ลองชิมดู” ภีมกล่าวขณะที่ยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ “ผมอยากให้คุณได้สัมผัสสิ่งที่ดีที่สุด”
น้ำขิงหยิบส้อมขึ้นมาและตักอาหารเข้าปาก รสชาติที่ละเมียดละไมทำให้เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบาๆ “อร่อยมากเลยค่ะ น้ำขิงไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน”
ภีมมองเธอด้วยสายตาที่นิ่งสงบ “คุณจะได้กินแบบนี้ทุกวัน ถ้าคุณอยู่กับผม”
น้ำขิงชะงักไปเล็กน้อย เธอวางส้อมลงและมองไปที่เขา “คุณพูดเหมือนน้ำขิงเป็นของที่คุณซื้อมาด้วยเงิน”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” ภีมตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเย็นชา “ผมแค่บอกคุณถึงสิ่งที่ผมให้ได้”
น้ำขิงกำหมัดแน่นใต้โต๊ะ เธอรู้สึกถึงระยะห่างที่เขาสร้างขึ้น แม้ว่าเขาจะให้ทุกอย่างกับเธอ แต่เขาก็ยังคงรักษาความเย็นชาและความห่างเหินไว้อย่างชัดเจน มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของข้อตกลง ไม่ใช่คนที่มีตัวตนจริงๆ ในสายตาของเขา
ค่ำคืนนั้น ภีมพาน้ำขิงไปยังห้องสวีทสุดหรูในโรงแรมของเขา ห้องพักถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นวิวเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ น้ำขิงยืนอยู่ตรงระเบียง มองออกไปด้านนอกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“คุณชอบที่นี่ไหม” ภีมเดินเข้ามายืนข้างเธอ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง
“น้ำขิงไม่รู้จะตอบยังไงดีค่ะ” เธอหันมองเขา “ทุกอย่างมันสวยงาม แต่มันไม่ใช่ที่ของฉัน”
“มันจะเป็นที่ของคุณ ถ้าคุณยอมรับมัน” ภีมกล่าว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ “ผมบอกแล้วว่าคุณจะได้ทุกอย่าง”
“แล้วคุณล่ะคะ” น้ำขิงถามกลับ “คุณได้อะไรจากน้ำขิง?”
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผมได้สิ่งที่ผมต้องการ”
เขาหันหลังและเดินกลับเข้าไปในห้อง โดยทิ้งน้ำขิงให้ยืนอยู่คนเดียวที่ระเบียง เธอกำราวระเบียงแน่น ความรู้สึกในใจของเธอปั่นป่วน เธอรู้ว่าเธอได้เข้ามาอยู่ในโลกของเขาแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงกำแพงที่เขาสร้างขึ้นระหว่างพวกเขา—กำแพงที่เย็นชาและแข็งแกร่งราวกับหินผา
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว น้ำขิงเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ภีมพาเธอไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ไป—ร้านอาหารมิชลินสตาร์ คอนเสิร์ตส่วนตัว และงานเลี้ยงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เขาดูแลเธอในทุกด้านตามที่สัญญาไว้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างชัดเจน เขาไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง และไม่เคยแสดงออกถึงความอบอุ่นใดๆ นอกเหนือจากคำสั่งและคำแนะนำ
น้ำขิงเริ่มรู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจของเธอ แม้ว่าเธอจะมีทุกอย่างที่คนอื่นใฝ่ฝัน แต่เธอก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เธออยากรู้ว่าในใจของภีมมีอะไรซ่อนอยู่ เธออยากรู้ว่าเขามองเธอเป็นอะไรกันแน่—แค่ของเล่นราคาแพง หรือมากกว่านั้น
คืนหนึ่ง หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยง น้ำขิงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องสวีท เธอมองไปที่ภีมที่กำลังยืนอยู่ที่บาร์ส่วนตัวและรินไวน์ลงในแก้ว
“คุณเคยรู้สึกเหงาไหมคะ” เธอถามขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
ภีมหยุดชะงัก เขาหันมามองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา “ทำไมคุณถึงถามแบบนั้น?”
“น้ำขิงแค่สงสัยค่ะ” เธอตอบ “คุณมีทุกอย่าง แต่คุณดูเหมือนคนที่ไม่เคยมีความสุข”
ภีมวางแก้วไวน์ลงและเดินมานั่งลงตรงข้ามเธอ “คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของผม คุณแค่ทำตามข้อตกลงก็พอ”
น้ำขิงกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกถึงกำแพงที่เขาสร้างขึ้นอีกครั้ง “ถ้าคุณไม่อยากให้น้ำขิงรู้จักคุณ แล้วทำไมคุณถึงเลือกน้ำขิง?”
“เพราะคุณแตกต่าง” ภีมตอบ สายตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “และผมชอบความแตกต่างนั้น”
น้ำขิงนิ่งไป เธอไม่รู้จะตอบอะไร แต่ในใจของเธอเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป เธอเริ่มสงสัยว่าเบื้องหลังความเย็นชาของเขา มีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกหรือไม่ และเธอจะสามารถเจาะกำแพงนั้นเข้าไปได้หรือเปล่า
บทที่ 4
แสงสว่างในเงามืด
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสวีทสุดหรูที่น้ำขิงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ห้องพักที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกเหมือนกรงทองเริ่มกลายเป็นสถานที่ที่เธอค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับมันได้ เธอนั่งอยู่บนโซฟานุ่มสีครีม ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงที่ดูบอบบาง เธอสวมชุดเดรสผ้าชีฟองสีขาวที่บางเบาและลื่นไหลไปตามเรือนร่าง ข้างหน้าเธอมีหนังสือเรียนวางกองอยู่หลายเล่ม—หลักฐานของความพยายามในการรักษาความเป็นตัวของตัวเองท่ามกลางโลกใหม่ที่ภีมมอบให้
ตั้งแต่ตกลงรับข้อเสนอของเขา น้ำขิงได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความหรูหราและความสะดวกสบาย เธอเริ่มเข้าใจวิธีการเคลื่อนไหวในสังคมชั้นสูงที่ภีมพาเธอเข้าไป และถึงแม้เธอจะยังคงรู้สึกถึงระยะห่างที่เขาสร้างขึ้น เธอก็เริ่มแสดงให้เขาเห็นว่าเธอไม่ใช่แค่เด็กสาวที่ยอมจำนนต่ออำนาจของเขา เธอฉลาด มีความคิดเป็นของตัวเอง และที่สำคัญ เธอไม่เคยยอมให้เขาควบคุมทุกด้านของชีวิตเธออย่างที่เขาคาดหวัง
บ่ายวันนั้น ภีมพาน้ำขิงไปยังงานเลี้ยงส่วนตัวที่จัดขึ้นในคฤหาสน์หลังใหญ่ของนักธุรกิจชื่อดัง ห้องโถงถูกตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าคริสตัลและดอกไม้สดที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล น้ำขิงสวมชุดเดรสสีแดงเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต เผยให้เห็นไหล่บางและช่วงเอวที่คอดกิ่ว เธอเดินเคียงข้างภีมด้วยท่าทางที่สง่างาม แต่ในสายตาของเธอมีความมั่นใจที่ไม่อาจมองข้ามได้
“คุณแน่ใจหรือว่าผมควรพาคุณมาที่นี่” ภีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในงาน “คนที่นี่ไม่เหมือนคนที่คุณเคยเจอ”
“น้ำขิงแน่ใจค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ “ถ้าคุณกลัวว่าน้ำขิงจะทำให้คุณเสียหน้า คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
ภีมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขาไม่พูดอะไรต่อ เขานำเธอเข้าไปแนะนำกับแขกในงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจและคนในแวดวงสังคมชั้นสูง น้ำขิงทักทายทุกคนด้วยความสุภาพและมั่นใจ เธอตอบคำถามเกี่ยวกับงานศิลปะและวัฒนธรรมด้วยความรู้ที่เธอมีจากการเรียน และในบางครั้ง เธอก็กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น
“ผมคิดว่าศิลปะสมัยใหม่บางชิ้นมันดูเกินจริงไปหน่อย” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวขณะที่ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ “มันไม่มีคุณค่าที่แท้จริง”
“น้ำขิงไม่เห็นด้วยค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “ศิลปะสมัยใหม่สะท้อนความรู้สึกและความคิดของคนในยุคนี้ มันอาจจะดูเกินจริงสำหรับบางคน แต่สำหรับคนอื่น มันคือการแสดงออกที่ลึกซึ้ง”
ภีมมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคาดหวังว่าเธอจะนั่งเงียบๆ และปล่อยให้เขาเป็นคนพูด แต่เธอกลับแสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน คำพูดของเธอทำให้คนรอบข้างหันมาสนใจ และในใจของเขาเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน—ความชื่นชม
เมื่อกลับมาถึงห้องสวีทในค่ำคืนนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เปลี่ยนไปอย่างละเอียดอ่อน ภีมยืนอยู่ที่บาร์ส่วนตัว รินไวน์แดงลงในแก้วสองใบ ขณะที่น้ำขิงนั่งอยู่บนโซฟา มองออกไปที่วิวเมืองยามค่ำคืนผ่านหน้าต่างบานใหญ่
“คุณทำได้ดีวันนี้” ภีมกล่าวขณะที่เดินมานั่งลงข้างเธอ เขายื่นแก้วไวน์ให้เธอ “ผมประทับใจ”
“น้ำขิงแค่พูดในสิ่งที่น้ำขิงคิดค่ะ” เธอรับแก้วไวน์มาและยกขึ้นจิบ รสชาติเข้มข้นของมันทำให้ลิ้นของเธอรู้สึกถึงความอบอุ่น “คุณไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ น้ำขิงไม่ใช่คนที่ยอมเงียบถ้ามีอะไรที่อยากพูด”
ภีมมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เขาวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะข้างหน้าและขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้น “คุณแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ”
น้ำขิงหันมามองเขา ดวงตากลมโตของเธอฉายแววสงสัย “คุณหมายถึงอะไรคะ?”
“ผมหมายถึงสิ่งที่ผมพูด” ภีมเอื้อมมือไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนียนนุ่มของเธอด้วยความระมัดระวัง “คุณทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน”
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมาบนใบหน้า เธออยากจะถอยห่าง แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ดึงดูดเธอเข้าไปหาเขา หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาขยับเข้าใกล้มากขึ้น จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่กระทบใบหน้าของเธอ
“น้ำขิง” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยพลัง “ผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณพิเศษแค่ไหน”
ก่อนที่น้ำขิงจะทันได้ตอบอะไร ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากของเธอ การจูบนั้นเริ่มต้นอย่างนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่ซ่อนอยู่ เขาค่อยๆ รุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้ไปตามช่วงคอของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้เข้ามาใกล้เขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา กลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขาผสมกับกลิ่นไวน์ทำให้เธอรู้สึกมึนเมา หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก เธอตอบสนองการจูบของเขาด้วยความลังเลในตอนแรก แต่เมื่อเขารุกเร้าด้วยความแนบแน่นมากขึ้น เธอก็ปล่อยตัวเองให้จมลงไปในความรู้สึกนั้น
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความปรารถนาของน้ำขิง มือของเขายังคงโอบรอบเอวของเธอ ขณะที่เขาค่อยๆ ดึงเธอให้ล้มตัวลงไปบนโซฟานุ่มๆ ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่พอดี
“น้ำขิง” กระซิบชื่อเธอขณะที่เขาฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาทำให้ผิวของเธอสั่นสะท้าน “ปล่อยให้ผมดูแลคุณ”
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนชายชุดเดรสของเธอขึ้น สัมผัสของปลายนิ้วที่ลากผ่านผิวหนังของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกาย
เธอหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกที่เขาเป็นคนจุดขึ้น ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไปตามช่วงคอและไหล่ของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสผิวของเธอเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาเบาๆ เสียงนั้นจุดประกายบางอย่างในตัวภีม เขาขยับตัวเข้าใกล้มากขึ้น ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียว
ในช่วงเวลานั้น โลกภายนอกดูเหมือนจะหายไป มีเพียงเขาและเธอที่อยู่ในห้องนี้ ภีมเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญและความมั่นใจ เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและเร่าร้อน มือของเขาเลื่อนไปตามส่วนโค้งของร่างกายเธอ ขณะที่ริมฝีปากของเขาค้นหาทุกจุดที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา เธอสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ตของเขา และกลิ่นของเขาที่อบอวลอยู่ในอากาศ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผ่นหลังของเขา นิ้วของเธอเกาะเกี่ยวไปตามเนื้อผ้าที่ตึงแน่น หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิด
“น้ำขิง” ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเขากระซิบชื่อเธออีกครั้ง ค่อยๆ ดึงตัวเองออกจากเธอเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ “คุณสวยงามเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้”
น้ำขิงมองกลับไปที่เขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปะปนกัน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เขาให้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกลัว—กลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นอะไรที่มากกว่าข้อตกลง
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมลุกขึ้นจากโซฟาและจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่งอยู่บนโซฟา หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“คุณควรไปพักผ่อน” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเย็นชาอีกครั้ง “พรุ่งนี้เรามีนัด”
น้ำขิงลุกขึ้นนั่ง มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “คุณจะไม่พูดอะไรเลยเหรอคะ?”
“ผมพูดไปแล้ว” ภีมตอบโดยไม่หันกลับมามอง “คุณพิเศษ”
น้ำขิงกำหมัดแน่น เธอรู้สึกถึงกำแพงที่เขาสร้างขึ้นอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวเขา เธอเริ่มเห็นรอยร้าวเล็กๆ บนกำแพงนั้น และในใจของเธอเริ่มมีความหวังว่าเธอจะสามารถเจาะเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้
บทที่ 5
ไฟแห่งความครอบครอง
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านสีขาวบางของห้องสวีทที่น้ำขิงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ มองภาพสะท้อนของตัวเองในชุดเดรสผ้าซาตินสีฟ้าอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงและไหล่บางที่ดูบอบบางแต่แข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปมากตั้งแต่รับข้อเสนอของภีม เธอเริ่มชินกับความหรูหราและความสะดวกสบาย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวเขา—บางอย่างที่ทำให้เธอทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ภีมเริ่มแสดงออกถึงความหึงหวงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคอยถามเธอถึงตารางการเรียนและงานพาร์ทไทม์ที่เธอยังคงทำอยู่ แม้ว่าเขาจะให้เงินเธอมากพอที่จะเลิกทำงานได้ เขาคอยตรวจสอบว่าเธอไปไหนกับใคร และบางครั้ง เขาก็สั่งให้เธอยกเลิกนัดกับเพื่อนโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจน มันขัดกับข้อตกลงที่เขาเคยให้ไว้—ข้อตกลงที่ระบุว่าเธอจะยังคงมีอิสรภาพในชีวิตของตัวเอง
เช้าวันนั้น น้ำขิงตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยเพื่อพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยวกับงานวิจัย เธอแต่งตัวเรียบร้อยและหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้อง ภีมก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายของเขาดูตึงเครียดเล็กน้อย
“คุณจะไปไหน” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยพลัง
“น้ำขิงจะไปมหาวิทยาลัยค่ะ” เธอตอบโดยไม่หันมามองเขา “มีนัดกับอาจารย์”
“กับใคร” ภีมก้าวเข้ามาใกล้เธอ สายตาของเขาจับจ้องใบหน้าของเธออย่างไม่ละสายตา
“อาจารย์ที่ปรึกษาค่ะ” น้ำขิงหันมามองเขา ดวงตากลมโตของเธอฉายแววสงสัย “ทำไมคุณถึงถามแบบนี้?”
“ผมแค่ต้องการรู้” ภีมตอบ สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “ผมไม่อยากให้คุณไปเจอคนอื่นโดยที่ผมไม่รู้”
น้ำขิงขมวดคิ้วแน่น “คุณบอกว่าน้ำขิงมีอิสรภาพ คุณบอกว่าน้ำขิงสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้”
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่เด็ดขาด “ผมต้องการให้คุณอยู่ใกล้ผมมากกว่านี้”
น้ำขิงกำหมัดแน่น เธอรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นมาในอก “คุณกำลังทำลายข้อตกลงที่เราเคยตกลงกันไว้”
“ข้อตกลงนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป” ภีมก้าวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น จนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขา “ผมต้องการคุณมากกว่านั้น”
น้ำขิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ภีมคว้ามือของเธอไว้แน่น เขาดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“ปล่อยน้ำขิง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“ผมจะไม่ปล่อย” ภีมกระซิบขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาทำให้ผิวของเธอสั่นสะท้าน “คุณเป็นของผม”
ก่อนที่น้ำขิงจะทันได้โต้แย้ง ริมฝีปากของภีมก็ประทับลงบนริมฝีปากของเธอ การจูบนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความหิวกระหาย เขารุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาจับที่ท้ายทอยของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงพลังที่เขาปล่อยออกมา กลิ่นของเขาผสมกับความร้อนจากร่างกายทำให้เธอรู้สึกมึนเมา เธอพยายามผลักเขาออกในตอนแรก แต่เมื่อเขารุกเร้าด้วยความแนบแน่นมากขึ้น เธอก็ปล่อยตัวเองให้จมลงไปในความรู้สึกนั้น หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความปรารถนาของน้ำขิง เขาค่อยๆ ดึงเธอไปที่โซฟานุ่มๆ ในห้องนั่งเล่น และผลักเธอลงไปนอนราบ ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นแต่ไม่หนักเกินไป
“น้ำขิง” คนตัวใหญ่ที่กระซิบเรียกเธอขณะที่เขาฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธออีกครั้ง ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไปตามผิวของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาเบาๆ
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนชายชุดเดรสของเธอขึ้น ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวหนังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกาย
ภีมเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญและความมั่นใจ เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและเร่าร้อน มือของเขาเลื่อนไปตามส่วนโค้งของร่างกายเธอ ขณะที่ริมฝีปากของเขาค้นหาทุกจุดที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน เขาดึงสายเดรสของเธอลงจากไหล่ เผยให้เห็นผิวเนียนนุ่มที่ระยิบระยับภายใต้แสงไฟในห้อง
น้ำขิงหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกที่เขาเป็นคนจุดขึ้น กลิ่นของเขาอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมกับความร้อนจากร่างกายของเขาที่แนบชิดกับเธอ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผ่นหลังของเขา นิ้วของเธอเกาะเกี่ยวไปตามกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ตของเขา
“น้ำขิง” เขากระซิบชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า เขาค่อยๆ ดึงตัวเองออกจากเธอเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ “ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งคุณไปจากผม”
น้ำขิงมองกลับไปที่เขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปะปนกัน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความเร่าร้อนที่เขามอบให้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกลัว—กลัวว่าเขาจะครอบครองเธอมากเกินไปจนเธอสูญเสียตัวตนของตัวเอง
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมนอนลงข้างเธอบนโซฟา ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันอยู่ เขาโอบแขนรอบตัวเธอแน่น ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่ง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“คุณเป็นของผม” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มนวลและเด็ดขาด “ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องคุณ”
น้ำขิงนิ่งไป เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น มันไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่มันคือคำประกาศที่เต็มไปด้วยความหึงหวงและความต้องการครอบครอง เธอรู้ว่าเขากำลังทำลายข้อตกลงที่เคยให้ไว้ และในใจของเธอเริ่มรู้สึกถึงความสับสน
“น้ำขิงไม่ใช่ของใคร” เธอพูดเบาๆ แต่ชัดเจน “น้ำขิงเป็นของตัวเอง”
ภีมชะงักไปเล็กน้อย เขาหันมามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง “คุณพูดแบบนั้น แต่คุณเลือกที่จะอยู่กับผม”
“น้ำขิงเลือกเพราะน้ำขิงไม่มีทางเลือก” เธอตอบกลับ สายตาของเธอจ้องมองเขาโดยไม่หลบ “แต่ถ้าคุณคิดว่าน้ำขิงจะยอมให้คุณครอบครองทุกอย่าง คุณคิดผิด”
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “คุณท้าทายผมเสมอ และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบในตัวคุณ”
น้ำขิงไม่ตอบอะไร เธอรู้สึกถึงความร้อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกาย และในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ เธอรู้ว่าความสัมพันธ์นี้กำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่เธอคาดไม่ถึง และเธอจะต้องหาทางรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ให้ได้
วันต่อมา ภีมเริ่มควบคุมชีวิตของน้ำขิงมากขึ้น เขาสั่งให้เธอยกเลิกงานพาร์ทไทม์ และห้ามเธอไปพบเพื่อนโดยไม่มีเขาคอยตามไปด้วย น้ำขิงรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มเห็นรอยร้าวในกำแพงเย็นชาของเขา เธอเริ่มรู้สึกว่าเบื้องหลังความหึงหวงและความต้องการครอบครองของเขา มีบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้นซ่อนอยู่—บางอย่างที่เขาเองอาจยังไม่ยอมรับ
บทที่ 6
หัวใจที่สับสน
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสวีทสุดหรูที่น้ำขิงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอนั่งอยู่บนโซฟานุ่มสีครีม ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงที่ดูบอบบาง เธอสวมชุดนอนผ้าซาตินสีขาวบางเบาที่ลื่นไหลไปตามเรือนร่าง ข้างหน้าเธอมีแก้วชาเย็นวางอยู่ครึ่งแก้ว แต่สายตาของเธอจ้องมองไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววสับสนและครุ่นคิด
ชีวิตของน้ำขิงเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เธอตกลงรับข้อเสนอของภีม เธอได้สัมผัสความหรูหราและความสะดวกสบายที่เธอไม่เคยฝันถึง ครอบครัวของเธอพ้นจากหนี้สิน พ่อของเธอได้รับการรักษาที่ดีที่สุด และเธอไม่ต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อประทังชีวิตอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงบางอย่างที่หนักอึ้งในใจ—ความรู้สึกที่เธอไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจน
เธอเริ่มสับสนกับความสัมพันธ์นี้ มันเริ่มต้นจากข้อตกลงที่ชัดเจน—ผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับ โดยไม่มีข้อผูกมัดทางใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มคลุมเครือ ภีมเริ่มแสดงออกถึงความหึงหวงและความต้องการครอบครองเธอมากขึ้น เขาทำลายข้อตกลงที่เคยให้ไว้ และในบางครั้ง เขาก็มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธอไม่สามารถตีความได้
น้ำขิงถอนหายใจเบาๆ เธอยกแก้วชาขึ้นจิบ รสชาติเย็นฉ่ำของมันช่วยให้เธอรู้สึกสงบลงบ้าง แต่ในใจของเธอยังคงเต็มไปด้วยคำถาม เธอเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างต่อภีมหรือเปล่า? หรือว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากความใกล้ชิดและความเร่าร้อนที่เขามอบให้? เธอเกลียดตัวเองที่เริ่มหวั่นไหว แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขากำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอมากขึ้นทุกวัน
เช้าวันนั้น น้ำขิงตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยเพื่อคลายความอัดอั้นในใจ เธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ และกางเกงยีนส์ที่เธอเคยใส่สมัยก่อนจะเข้ามาอยู่ในโลกของภีม มันเป็นความพยายามของเธอในการรักษาความเป็นตัวของตัวเองท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง เธอหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายและเดินออกจากห้องสวีท โดยไม่บอกภีมถึงจุดหมายปลายทางของเธอ
ที่มหาวิทยาลัย น้ำขิงนั่งอยู่ในห้องสมุดกับเพื่อนสนิทของเธอ ดาว ซึ่งเป็นคนเดียวที่เธอรู้สึกว่าสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างเปิดเผย
“แกดูแปลกๆ ไปนะ” ดาวกล่าวขณะที่มองน้ำขิงด้วยสายตาสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
“น้ำขิงไม่รู้จะอธิบายยังไงดี” เธอตอบพร้อมกับถอนหายใจ “ทุกอย่างมันซับซ้อนไปหมด”
“เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเหรอ?” ดาวถามต่อ “คนที่พาแกไปงานประมูลวันนั้น”
น้ำขิงพยักหน้าเบาๆ “เขาเปลี่ยนไป เขาเริ่มควบคุมชีวิตน้ำขิงมากขึ้น และน้ำขิงก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างที่น้ำขิงไม่แน่ใจ”
ดาวขมวดคิ้ว “แกชอบเขาหรือเปล่า?”
“น้ำขิงไม่รู้” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “บางครั้งน้ำขิงรู้สึกว่าเขาเห็นน้ำขิงเป็นมากกว่าแค่ข้อตกลง แต่บางครั้งเขาก็เย็นชาจนน้ำขิงรู้สึกเหมือนเป็นแค่ของที่เขา Possess”
ดาววางมือลงบนไหล่ของน้ำขิง “แกต้องคิดให้ดีนะ ว่าสิ่งที่แกรู้สึกมันคืออะไร ถ้ามันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ แกต้องหาทางออกจากมันให้ได้”
น้ำขิงพยักหน้า แต่ในใจของเธอยังคงเต็มไปด้วยความสับสน เธอรู้ว่าดาวพูดถูก แต่การหาคำตอบให้กับความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อน้ำขิงกลับมาถึงห้องสวีทในช่วงบ่าย เธอพบว่าภีมกำลังรอเธออยู่ เขายืนอยู่ที่ระเบียง มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกง สายตาของเขาจ้องมองออกไปที่วิวเมืองยามบ่ายด้วยความนิ่งสงบ
“คุณไปไหนมา” เขาถามโดยไม่หันมามองเธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชาแต่เต็มไปด้วยพลัง
“น้ำขิงไปมหาวิทยาลัยค่ะ” เธอตอบพร้อมกับวางกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา “ไปเจอเพื่อน”
“คุณไม่ได้บอกผม” ภีมหันมามองเธอ สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “ผมบอกแล้วว่าผมอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ”
“น้ำขิงไม่ใช่เด็กที่ต้องรายงานทุกอย่าง” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “คุณบอกว่าน้ำขิงมีอิสรภาพ แต่คุณกลับทำตรงข้าม”
ภีมก้าวเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “ผมทำเพราะผมเป็นห่วงคุณ”
“เป็นห่วง หรืออยากควบคุม?” น้ำขิงถามกลับ สายตาของเธอไม่หลบเลี่ยง
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ “คุณไม่เข้าใจว่าคุณสำคัญกับผมแค่ไหน”
น้ำขิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากสัมผัสของเขา แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความสับสนที่เพิ่มมากขึ้น “น้ำขิงไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะ ว่าคุณต้องการอะไรจากน้ำขิงกันแน่”
ก่อนที่ภีมจะทันได้ตอบอะไร เขาก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเธอด้วยความเร่าร้อนที่ไม่เคยลดลง การจูบนั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายและความปรารถนา เขารุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาจับที่ท้ายทอยของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงพลังที่เขาปล่อยออกมา กลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขาผสมกับความร้อนจากร่างกายทำให้เธอรู้สึกมึนเมา เธอตอบสนองการจูบของเขาด้วยความลังเลในตอนแรก แต่เมื่อเขารุกเร้าด้วยความแนบแน่นมากขึ้น เธอก็ปล่อยตัวเองให้จมลงไปในความรู้สึกนั้น หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาค่อยๆ ดึงเธอไปที่โซฟานุ่มๆ และผลักเธอลงไปนอนราบ ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นแต่ไม่หนักเกินไป
“น้ำขิง” เธอได้ยินเขากระซิบขานขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอขาวผ่องของเธอ ริมฝีปากหยักลึก เต็มไปด้วยแรงปรารถนาของเขาคลอเคลียไปตามผิวของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาเบาๆ
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนชายเสื้อของเธอขึ้น ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวหนังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกาย
ภีมเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญและความมั่นใจ เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและเร่าร้อน มือของเขาเลื่อนไปตามส่วนโค้งของร่างกายเธอ ขณะที่ริมฝีปากของเขาค้นหาทุกจุดที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน เขาดึงเสื้อของเธอขึ้น เผยให้เห็นผิวเนียนนุ่มที่ระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
น้ำขิงหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกที่เขาเป็นคนจุดขึ้น กลิ่นของเขาอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมกับความร้อนจากร่างกายของเขาที่แนบชิดกับเธอ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผ่นหลังของเขา นิ้วของเธอเกาะเกี่ยวไปตามกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ตของเขา
“น้ำขิง” ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า เขากระซิบชื่อเธอ ก่อนจะค่อยๆ ดึงตัวเองออกจากเธอเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ “ผมต้องการคุณมากกว่าที่คุณคิด”
น้ำขิงมองกลับไปที่เขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปะปนกัน เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความเร่าร้อนที่เขามอบให้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความสับสนที่เพิ่มมากขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาคืออะไร—ความรัก หรือเพียงแค่ความผูกพันที่เกิดจากความใกล้ชิด
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมนอนลงข้างเธอบนโซฟา ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันอยู่ เขาโอบแขนรอบตัวเธอแน่น ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่ง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“คุณเป็นของผม” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มนวลและเด็ดขาด “ผมจะไม่ยอมให้คุณไปจากผม”
น้ำขิงนิ่งไป เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น และในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความสับสนในใจของเธอเอง เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นเพียงเรื่องของผลประโยชน์ หรือมีบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้นซ่อนอยู่ เธออยากรู้คำตอบ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็กลัวว่าคำตอบนั้นจะทำให้ทุกอย่างซับซ้อนยิ่งขึ้น
“น้ำขิงไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง” เธอพูดเบาๆ ขณะที่มองไปที่เพดาน “น้ำขิงกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นแค่ภาพลวงตา”
ภีมชะงักไปเล็กน้อย เขาหันมามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง “คุณไม่ต้องกลัว ผมจะทำให้คุณรู้ว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา”
น้ำขิงไม่ตอบอะไร เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเขา แต่ในใจของเธอยังคงเต็มไปด้วยคำถาม เธอรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ยังไม่จบ และเธอจะต้องหาคำตอบให้กับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
บทที่ 7
รอยร้าวแห่งความลับ
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสวีทที่น้ำขิงและภีมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำขิงนั่งอยู่บนโซฟานุ่มสีครีม ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าสูง เธอสวมเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ และกางเกงยีนส์ที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นตัวของตัวเองท่ามกลางความหรูหราที่รายล้อม ข้างหน้าเธอมีหนังสือเรียนวางกองอยู่ แต่สายตาของเธอไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวอักษร หากแต่จ้องมองไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววครุ่นคิดและกังวล
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับภีมเริ่มซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน เธอยังคงสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง และในขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากเขา เขาควบคุมชีวิตของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้เธอจะพยายามรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ เธอก็รู้สึกว่ากำลังถูกกลืนกินโดยโลกของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เธอกังวลมากกว่านั้นคือความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ—ความรู้สึกที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นความรักหรือเพียงแค่ความผูกพันที่เกิดจากความใกล้ชิด
ในขณะเดียวกัน ภีมยืนอยู่ในห้องทำงานของเขา ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึกระฟ้าสูงตระหง่าน เขาสวมสูทสีเทาเข้มที่ตัดเย็บอย่างปราณีต ใบหน้าคมคายของเขาดูตึงเครียดขณะที่สายตาจ้องมองไปที่เมืองเบื้องล่าง มือของเขากำโทรศัพท์แน่น ขณะที่เลขาคนสนิทของเขา วิน รายงานสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง
“มีคนเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคุณกับน้ำขิงครับ” วินกล่าว “นักข่าวจากสำนักหนึ่งเริ่มขุดคุ้ยข้อมูล และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับข้อตกลงของคุณ”
ภีมขมวดคิ้วแน่น “ใคร?”
“ยังไม่แน่ชัดครับ” วินตอบ “แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลจากคนในวงใน บางทีอาจเป็นคนที่เคยเห็นคุณกับน้ำขิงในงานเลี้ยงหรือสถานที่สาธารณะ”
“จัดการให้เรียบร้อย” ภีมสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่เด็ดขาด “ผมไม่อยากให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไป”
วินพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ภีมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและพิงตัวลงกับเก้าอี้ ความคิดของเขาวนเวียนอยู่ที่น้ำขิง เขารู้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นความลับที่เขาต้องปกป้อง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความหวั่นไหวในใจของเขาเอง เขาเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าราคะหรือความต้องการครอบครอง—บางอย่างที่เขาไม่เคยยอมรับกับตัวเอง
ในช่วงบ่ายวันนั้น น้ำขิงตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยเพื่อพบกับเพื่อนสนิทของเธอ ดาว เธอต้องการระบายความอัดอั้นในใจ และดาวคือคนเดียวที่เธอรู้สึกว่าสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างเปิดเผย เธอแต่งตัวเรียบง่ายและเดินออกจากห้องสวีทโดยไม่บอกภีมถึงจุดหมายปลายทางของเธอ
ที่ร้านกาแฟใกล้มหาวิทยาลัย น้ำขิงนั่งอยู่ตรงข้ามกับดาว เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง—ความสับสนในใจของเธอ ความเปลี่ยนแปลงในตัวภีม และความรู้สึกที่เธอไม่สามารถกำหนดได้
“น้ำขิงไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “บางครั้งน้ำขิงรู้สึกว่าเขาดูแลน้ำขิงจริงๆ แต่บางครั้งน้ำขิงก็รู้สึกเหมือนเป็นแค่ของที่เขา Possess”
ดาวมองน้ำขิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “แกต้องคิดให้ดีนะ ว่าสิ่งที่แกรู้สึกมันคืออะไร ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่แกต้องการจริงๆ แกต้องหาทางออก”
“น้ำขิงอยากออก” เธอตอบ “แต่น้ำขิงก็กลัว กลัวว่าถ้าออกไปแล้ว ครอบครัวน้ำขิงจะลำบากอีก”
ก่อนที่ดาวจะทันได้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของน้ำขิงก็ดังขึ้น เธอหยิบมันขึ้นมาดูและเห็นชื่อของภีมปรากฏบนหน้าจอ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทันที เธอกดรับสายด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย
“คุณอยู่ไหน” เสียงทุ้มต่ำของภีมดังขึ้นจากปลายสาย น้ำเสียงของเขาเย็นชาแต่เต็มไปด้วยพลัง
“น้ำขิงอยู่ที่ร้านกาแฟใกล้มหาวิทยาลัยค่ะ” เธอตอบ “มากับเพื่อน”
“ผมจะไปรับคุณ อยู่ที่นั่น อย่าไปไหน” ภีมสั่งก่อนจะวางสายไป
น้ำขิงมองไปที่ดาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “เขาจะมารับน้ำขิง”
“แกจะยอมให้เขาควบคุมแกแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือ?” ดาวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
น้ำขิงนิ่งไป เธอรู้ว่าดาวพูดถูก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความผูกพันที่เธอมีต่อภีม—ความผูกพันที่เธอไม่สามารถตัดขาดได้ง่ายๆ
ไม่นาน รถยนต์สีดำเงาวับของภีมก็มาจอดที่หน้าร้านกาแฟ เขาก้าวลงจากรถในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าคมคายของเขาดูตึงเครียดขณะที่สายตากวาดมองไปรอบๆ จนพบน้ำขิงที่นั่งอยู่กับดาว เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
“น้ำขิง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ตามผมมา”
น้ำขิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความลังเล เธอมองไปที่ดาว ซึ่งพยักหน้าให้เธอเป็นกำลังใจ ก่อนที่เธอจะเดินตามภีมไปที่รถ
เมื่อทั้งคู่ขึ้นรถ ภีมขับรถออกไปโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความตึงเครียด น้ำขิงนั่งนิ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“ทำไมคุณไม่บอกผมว่าคุณจะไปไหน” ภีมถามในที่สุด น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความโกรธที่ซ่อนอยู่
“น้ำขิงแค่อยากเจอเพื่อน” เธอตอบ “น้ำขิงไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหา”
“มันเป็นปัญหา” ภีมตอกกลับ “ผมบอกคุณแล้วว่าผมอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ”
“น้ำขิงไม่ใช่ทรัพย์สินของคุณ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “น้ำขิงมีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง”
ภีมหันมามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง “คุณไม่เข้าใจว่าผมทำแบบนี้เพราะอะไร”
“น้ำขิงเข้าใจ” เธอตอบ “แต่น้ำขิงก็รู้สึกว่าคุณกำลังครอบครองน้ำขิงมากเกินไป”
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะจอดรถที่ข้างทางและหันมามองเธอเต็มๆ “มีคนพยายามขุดคุ้ยเรื่องของเรา ถ้าความลับนี้รั่วไหลออกไป มันจะทำลายทุกอย่าง”
น้ำขิงชะงักไปทันที “ทำลายอะไร?”
“ทุกอย่าง” ภีมตอบ “ชื่อเสียงของผม ธุรกิจของผม และคุณ”
น้ำขิงกำหมัดแน่น เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น และในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกลัว—กลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นหายนะสำหรับทั้งคู่
เมื่อกลับมาถึงห้องสวีท ภีมเดินไปที่บาร์ส่วนตัวและรินไวน์แดงลงในแก้วสองใบ เขายื่นแก้วหนึ่งให้น้ำขิง ซึ่งเธอรับมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย
“คุณต้องระวังมากกว่านี้” ภีมกล่าวขณะที่ยกแก้วขึ้นจิบ “ผมจะจัดการเรื่องนี้ แต่คุณต้องเชื่อใจผม”
“น้ำขิงเชื่อคุณ” เธอตอบ “แต่น้ำขิงก็อยากรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับน้ำขิงจริงๆ”
ภีมชะงักไปเล็กน้อย เขาวางแก้วไวน์ลงและก้าวเข้ามาใกล้เธอ “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณพิเศษ”
“น้ำขิงอยากได้มากกว่านั้น” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น “น้ำขิงอยากรู้ว่าคุณรักน้ำขิงหรือเปล่า”
คำถามนั้นทำให้ภีมนิ่งไป เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ “ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น”
คืนนั้น บรรยากาศในห้องสวีทเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความเร่าร้อน ภีมดึงน้ำขิงเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเธอด้วยความเร่าร้อนที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย เขารุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาจับที่ท้ายทอยของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงพลังที่เขาปล่อยออกมา กลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขาผสมกับความร้อนจากร่างกายทำให้เธอรู้สึกมึนเมา เธอตอบสนองการจูบของเขาด้วยความลังเลในตอนแรก แต่เมื่อเขารุกเร้าด้วยความแนบแน่นมากขึ้น เธอก็ปล่อยตัวเองให้จมลงไปในความรู้สึกนั้น
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาค่อยๆ ดึงเธอไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ และผลักเธอลงไปนอนราบ ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นแต่ไม่หนักเกินไป
“น้ำขิง” เขากระซิบขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไปตามผิวของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาเบาๆ
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนชายเสื้อของเธอขึ้น ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวหนังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกาย
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมนอนลงข้างเธอบนเตียง ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันอยู่ เขาโอบแขนรอบตัวเธอแน่น ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่ง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“ผมจะปกป้องคุณ” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มนวลและเด็ดขาด “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
น้ำขิงนิ่งไป เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเขา แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น เธอรู้ว่าอุปสรรคและความขัดแย้งกำลังเข้ามาทดสอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และเธอไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะผ่านมันไปได้หรือไม่
บทที่ 8
คำสารภาพแห่งรัก
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสวีทสุดหรูที่น้ำขิงและภีมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ห้องพักถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวและทองที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสง่างาม กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้สดที่วางอยู่ในแจกันแก้วลอยอบอวลอยู่ในอากาศ น้ำขิงยืนอยู่ที่ระเบียง มองออกไปที่วิวเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เธอสวมชุดเดรสผ้าซาตินสีดำที่บางเบาและลื่นไหลไปตามเรือนร่าง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงที่ดูบอบบาง
ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความกังวล อุปสรรคและความขัดแย้งที่เข้ามาทดสอบความสัมพันธ์ของเธอกับภีมทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของความลับที่ทั้งคู่แบกรับไว้ เธอรู้สึกถึงความกลัว—กลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะพังทลายลงหากความจริงถูกเปิดเผย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งกับเขา—ความผูกพันที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
ภีมยืนอยู่ที่ประตูระเบียง มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างปราณีต ใบหน้าคมคายของเขาดูสงบแต่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน เขามองน้ำขิงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ขณะที่ความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป—ความรู้สึกที่เขามีต่อน้ำขิงไม่ใช่แค่ความต้องการครอบครองหรือราคะ มันคือความรัก—ความรักที่เขาไม่เคยยอมรับกับตัวเองมาก่อน
“น้ำขิง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยพลัง น้ำขิงหันมามองเขา ดวงตากลมโตของเธอฉายแววสงสัย
“มีอะไรคะ” เธอถาม ขณะที่ก้าวเข้ามาในห้องและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ภีมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปใกล้เธอ มือของเขายื่นไปแตะที่แก้มของเธอเบาๆ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนียนนุ่มของเธอด้วยความระมัดระวัง “ผมมีอะไรจะบอกคุณ”
น้ำขิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากสัมผัสของเขา หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นแววตาของเขาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “อะไรคะ?”
“ผมรักคุณ” ภีมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงแต่สั่นเล็กน้อย “ผมรักคุณมากกว่าที่ผมเคยคิด และผมอยากใช้ชีวิตกับคุณ ไม่ใช่แค่ในฐานะข้อตกลง แต่ในฐานะคนที่ผมรัก”
น้ำขิงชะงักไปทันที คำพูดของเขาทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสับสน “คุณพูดจริงเหรอคะ?”
“จริง” ภีมตอบ เขาก้าวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น จนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขา “ผมรู้ว่าผมทำผิดที่พยายามควบคุมคุณ ผมกลัวที่จะเสียคุณไป กลัวว่าคุณจะทิ้งผม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าผมต้องการอะไร ผมต้องการคุณ ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมถึงหัวใจของคุณด้วย”
น้ำขิงรู้สึกถึงน้ำตาที่คลอในดวงตา เธอไม่เคยคิดว่าภีมจะยอมเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่พุ่งขึ้นมาในอก และในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความกลัว—กลัวว่าความรักนี้จะนำพาความเจ็บปวดมาให้
“น้ำขิงไม่รู้จะพูดอะไร” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น “น้ำขิงกลัว กลัวว่าทุกอย่างจะพังลง”
“ผมจะไม่ปล่อยให้มันพัง” ภีมกล่าว เขาดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา “ผมจะปกป้องคุณ และผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมรักคุณจริงๆ”
ก่อนที่น้ำขิงจะทันได้ตอบอะไร ภีมก็ประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเธอ การจูบนั้นเริ่มต้นอย่างนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่ซ่อนอยู่ เขาค่อยๆ รุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้ไปตามช่วงคอของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้เข้ามาใกล้เขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากสัมผัสของเขา กลิ่นของเขาผสมกับความอบอุ่นจากร่างกายทำให้เธอรู้สึกมึนเมา หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิด เธอตอบสนองการจูบของเขาด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน—ความรัก ความปรารถนา และความหวาดกลัว
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาค่อยๆ ดึงเธอไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าปูสีขาวนวล เขาวางเธอลงบนเตียงด้วยความนุ่มนวล ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นแต่ไม่หนักเกินไป
“น้ำขิง” เขาฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ กระซิบชื่อเธอ ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาทำให้ผิวของเธอสั่นสะท้าน “ผมจะทำให้คุณรู้ว่าผมรักคุณแค่ไหน”
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนสายเดรสของเธอลงจากไหล่ ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวหนังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกาย
ภีมเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญและความมั่นใจ เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและเร่าร้อน มือของเขาเลื่อนไปตามส่วนโค้งของร่างกายเธอ ขณะที่ริมฝีปากของเขาค้นหาทุกจุดที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน เขาดึงชุดเดรสของเธอลง เผยให้เห็นผิวเนียนนุ่มที่ระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของเธอผสมกับกลิ่นน้ำหอมของเขา สร้างบรรยากาศที่เย้ายวนและลึกล้ำ
น้ำขิงหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกที่เขาเป็นคนจุดขึ้น กลิ่นของเขาอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมกับความร้อนจากร่างกายของเขาที่แนบชิดกับเธอ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผ่นหลังของเขา นิ้วของเธอเกาะเกี่ยวไปตามกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ตของเขา เสียงหายใจของเธอเริ่มถี่ขึ้นเมื่อเขาคลอเคลียไปตามช่วงคอและไหล่ของเธอ
“น้ำขิง” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ “คุณสวยงามเกินกว่าที่ผมจะต้านทานได้”
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา มือของเขาเลื่อนลงไปตามช่วงขาของเธอ ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวของเธอด้วยความช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลัง เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยความเร่าร้อนที่เพิ่มขึ้น ริมฝีปากของเขากลับมาประทับลงบนริมฝีปากของเธออีกครั้ง การจูบนั้นรุนแรงและดุดัน แต่เต็มไปด้วยความรักที่เขาต้องการสื่อถึงเธอ
ภีมเคลื่อนไหวร่างกายของเขาด้วยจังหวะที่ทั้งร้อนแรงและนุ่มนวล เขาดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น ร่างกายของทั้งคู่กลมกลืนกันราวกับเป็นหนึ่งเดียว ความร้อนจากร่างกายของเขาผสมกับความนุ่มนวลของเธอสร้างความรู้สึกที่ทั้งเผ็ดร้อนและหวานซึ้ง น้ำขิงรู้สึกถึงพลังที่เขาปล่อยออกมา มือของเขาจับที่สะโพกของเธอแน่น ขณะที่เขาคลอเคลียไปตามทุกส่วนของร่างกายเธอด้วยความหิวกระหาย
“ผมรักคุณ” เขากระซิบซ้ำอีกครั้ง ขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่อกของเธอ ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไปตามผิวของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
น้ำขิงรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนในร่างกายของเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิด เธอยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขา ดึงเขาให้เข้ามาใกล้มากขึ้น เสียงหายใจของทั้งคู่ผสานกันเป็นจังหวะที่เร่าร้อนและดุดัน ความรู้สึกที่เขามอบให้เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนและความหวานที่ทำให้เธอจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความรัก
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมนอนลงข้างเธอบนเตียง ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันอยู่ เขาโอบแขนรอบตัวเธอแน่น ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่ง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“ผมจะไม่ปล่อยให้อะไรมาทำลายเรา” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มนวลและเด็ดขาด “ผมจะสู้เพื่อคุณ”
น้ำขิงหันมามองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน—ความรัก ความกลัว และความหวัง “น้ำขิงเชื่อคุณ” เธอพูดเบาๆ “แต่น้ำขิงก็กลัว กลัวว่าทุกอย่างจะยากเกินกว่าที่เราจะรับไหว”
“ผมจะทำให้มันง่าย” ภีมตอบ เขาดึงเธอเข้ามากอดแน่น “ผมสัญญา”
น้ำขิงซบหน้าเข้ากับอกของเขา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยในอ้อมแขนของเขา และในขณะนั้น เธอรู้ว่าเธอรักเขาเช่นกัน—ความรักที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
บทที่ 9
รักแท้ในเงามืด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสวีทสุดหรูที่น้ำขิงและภีมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน น้ำขิงยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆ เผยให้เห็นช่วงคอระหงและไหล่บางที่ดูบอบบางแต่แข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน เธอสวมชุดเดรสผ้าชีฟองสีขาวที่บางเบาและลื่นไหลไปตามเรือนร่าง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววแห่งความหวังและความมุ่งมั่น
หลังจากคำสารภาพของภีมในคืนก่อน น้ำขิงใช้เวลาทั้งคืนครุ่นคิดถึงความรู้สึกของตัวเองและอนาคตของทั้งคู่ เธอรู้ว่าความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นจากข้อตกลงที่เต็มไปด้วยความลับและเงื่อนไข แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลายเป็นมากกว่านั้น เธอรู้สึกถึงความรักที่ก่อตัวขึ้นในใจของเธอ—ความรักที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป และถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคและความขัดแย้งรออยู่ข้างหน้า เธอก็ตัดสินใจที่จะให้โอกาสเขาครั้งหนึ่ง—โอกาสในการเริ่มต้นใหม่ด้วยความรักและความเข้าใจ
ภีมยืนอยู่ที่ประตูห้องนอนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่แข็งแกร่ง ใบหน้าคมคายของเขาดูสงบและเต็มไปด้วยความหวัง เขามองน้ำขิงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ขณะที่ความรู้สึกที่เขาเพิ่งยอมรับเมื่อคืนยังคงอบอวลอยู่ในใจ เขารู้ว่าเขาได้ทำลายกำแพงเย็นชาของตัวเองลง และตอนนี้ เขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับเธอ
“น้ำขิง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น น้ำขิงหันมามองเขาและยิ้มออกมาเบาๆ
“น้ำขิงตัดสินใจแล้วค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “น้ำขิงจะให้โอกาสคุณ น้ำขิงอยากเริ่มต้นใหม่กับคุณ ไม่ใช่ในฐานะข้อตกลง แต่ในฐานะคนที่น้ำขิงรัก”
ภีมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มที่แท้จริงจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาก้าวเข้าไปใกล้เธอและดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“ผมสัญญา” เขากระซิบขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ “ผมจะทำให้คุณมีความสุข และผมจะไม่ทำร้ายคุณอีก”
น้ำขิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเขา เธอโอบแขนรอบเอวของเขาและซบหน้าเข้ากับอกของเขา “น้ำขิงเชื่อคุณค่ะ แต่น้ำขิงอยากให้เราเริ่มต้นด้วยความเข้าใจกันจริงๆ ไม่มีอะไรปิดบังอีกต่อไป”
ภีมพยักหน้า เขาดึงตัวเองออกจากเธอเล็กน้อยและมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “ผมจะบอกทุกอย่างกับคุณ และผมจะจัดการทุกอย่างที่อาจทำร้ายเรา”
ทั้งคู่นั่งลงบนโซฟานุ่มในห้องนั่งเล่น และใช้เวลาหลายชั่วโมงในการพูดคุยกันอย่างเปิดเผย ภีมเล่าให้เธอฟังถึงความกลัวของเขา—ความกลัวที่จะสูญเสียเธอ และความกดดันจากโลกภายนอกที่เขาต้องเผชิญ น้ำขิงเล่าให้เขาฟังถึงความสับสนและความกลัวของเธอเช่นกัน และทั้งคู่ตกลงกันว่าจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความลับที่อาจถูกเปิดเผย หรืออุปสรรคใดๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต
เมื่อถึงช่วงค่ำ บรรยากาศในห้องสวีทเปลี่ยนไปเป็นความอบอุ่นและความเร่าร้อน ภีมจุดเทียนหอมที่ส่งกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ ไปทั่วห้อง แสงจากเทียนส่องสว่างเป็นเงาระยิบระยับบนผนัง เขาดึงน้ำขิงเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันจนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมไม้จันทน์ที่ติดตัวเขา
“น้ำขิง” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเต็มไปด้วยความปรารถนา ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเธอด้วยความเร่าร้อนที่ทั้งนุ่มนวลและดุดัน เขารุกเข้าใส่เธอด้วยความมั่นใจ มือข้างหนึ่งของเขาจับที่ท้ายทอยของเธอ ขณะที่อีกข้างหนึ่งเลื่อนลงไปโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น
น้ำขิงรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนขึ้นในร่างกายของเธอ กลิ่นของเขาผสมกับความร้อนจากร่างกายทำให้เธอรู้สึกมึนเมา หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิด เธอตอบสนองการจูบของเขาด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน—ความรัก ความปรารถนา และความมั่นใจในอนาคตของทั้งคู่
ภีมผละริมฝีปากออกจากเธอช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาค่อยๆ ดึงเธอไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าปูสีขาวนวล เขาวางเธอลงบนเตียงด้วยความนุ่มนวล ร่างกายของเขาทาบทับลงไปบนร่างของเธอด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นแต่ไม่หนักเกินไป
“น้ำขิง” เขากระซิบขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาทำให้ผิวของเธอสั่นสะท้าน “ผมจะทำให้คุณรู้ว่าผมรักคุณแค่ไหน”
น้ำขิงรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่เคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างของเธอ มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอวและสะโพกของเธอด้วยความนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาค่อยๆ เลื่อนชายเดรสของเธอขึ้น ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวหนังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นมาทั่วร่าง
ภีมเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญและความมั่นใจ เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยสัมผัสที่ทั้งนุ่มนวลและเร่าร้อน มือของเขาเลื่อนไปตามส่วนโค้งของร่างกายเธอ ขณะที่ริมฝีปากของเขาค้นหาทุกจุดที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน เขาดึงชุดเดรสของเธอขึ้น เผยให้เห็นผิวเนียนนุ่มที่ระยิบระยับภายใต้แสงเทียน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของเธอผสมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ในอากาศ สร้างบรรยากาศที่เย้ายวนและลึกล้ำ
น้ำขิงหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในความรู้สึกที่เขาเป็นคนจุดขึ้น กลิ่นของเขาอบอวลอยู่ในอากาศ ผสมกับความร้อนจากร่างกายของเขาที่แนบชิดกับเธอ เธอยกมือขึ้นแตะที่แผ่นหลังของเขา นิ้วของเธอเกาะเกี่ยวไปตามกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งใต้เสื้อเชิ้ตของเขา เสียงหายใจของเธอเริ่มถี่ขึ้นเมื่อเขาคลอเคลียไปตามช่วงคอและไหล่ของเธอ
“น้ำขิง” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเต็มไปด้วยความปรารถนา ค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ “คุณคือทุกอย่างของผม”
น้ำขิงรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา มือของเขาเลื่อนลงไปตามช่วงขาของเธอ ปลายนิ้วของเขาลากผ่านผิวของเธอด้วยความช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลัง เขาคลอเคลียร่างกายของเธอด้วยความเร่าร้อนที่เพิ่มขึ้น ริมฝีปากของเขากลับมาประทับลงบนริมฝีปากของเธออีกครั้ง การจูบนั้นรุนแรงและดุดัน แต่เต็มไปด้วยความรักที่เขาต้องการสื่อถึงเธอ
ภีมเคลื่อนไหวร่างกายของเขาด้วยจังหวะที่ทั้งร้อนแรงและเผ็ดร้อน เขาดึงเธอให้แนบชิดกับเขามากขึ้น ร่างกายของทั้งคู่กลมกลืนกันราวกับเป็นหนึ่งเดียว ความร้อนจากร่างกายของเขาผสมกับความนุ่มนวลของเธอสร้างความรู้สึกที่ทั้งเผ็ดร้อนและหวานซึ้ง น้ำขิงรู้สึกถึงพลังที่เขาปล่อยออกมา มือของเขาจับที่สะโพกของเธอแน่น ขณะที่เขาคลอเคลียไปตามทุกส่วนของร่างกายเธอด้วยความหิวกระหาย
“ผมรักคุณ” เขากระซิบซ้ำอีกครั้ง ขณะที่ฝังใบหน้าลงไปที่อกของเธอ ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไปตามผิวของเธอ ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัสเบาๆ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
น้ำขิงรู้สึกถึงไฟที่ลุกโชนในร่างกายของเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะระเบิด เธอยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขา ดึงเขาให้เข้ามาใกล้มากขึ้น เสียงหายใจของทั้งคู่ผสานกันเป็นจังหวะที่เร่าร้อนและดุดัน ความรู้สึกที่เขามอบให้เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนและความหวานที่ทำให้เธอจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความรัก
เมื่อทุกอย่างสงบลง ภีมนอนลงข้างเธอบนเตียง ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันอยู่ เขาโอบแขนรอบตัวเธอแน่น ขณะที่น้ำขิงนอนนิ่ง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่
“น้ำขิงรักคุณ” เธอพูดเบาๆ ขณะที่ซบหน้าเข้ากับอกของเขา “น้ำขิงอยากให้เรามีความสุขด้วยกัน”
ภีมยิ้มออกมา เขาดึงเธอเข้ามากอดแน่น “ผมจะทำให้คุณมีความสุข ผมสัญญา”
ทั้งคู่กอดกันอยู่นาน ภายใต้แสงเทียนที่ยังคงส่องสว่างอยู่ พวกเขารู้ว่าอนาคตอาจจะไม่ง่าย แต่ด้วยความรักและความเข้าใจที่ทั้งคู่มีให้กัน พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า